ที่พบมากและทำให้ เกิดอาการคือ ในข้อต่างๆ, ในไตและเมื่อเป็นเรื้อรัง จะเห็นการตกตะกอนตามเนื้อเยื่อต่างๆ เห็นเป็นปุ่มก้อนตามแขนขาได้กรดยูริค (Uric acid) เป็นผลผลิตจากการสลายสารพิวรีน (purine) ซึ่งเป็นสารสำคัญในการสร้างสาย DNA ในเซลล์ต่างๆ ดังนั้นการสลายเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มี DNA จะได้กรดยูริคเสมอ
เนื่อง จากภาวะกรดยูริคในเลือดที่สูงนั้น จะยังไม่เกิดการตกตะกอนและเกิดข้ออักเสบทันที แต่ต้องใช้ระยะเวลาที่กรดยูริคในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายสิบปี พบว่าในผู้ชายที่มีกรดยูริคสูงนั้น ระดับของยูริคในเลือดจะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และสูงไปนาน จนกว่าจะเริ่มมีอาการ คืออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงระดับยูริคจะเริ่มสูงขึ้นหลังจากวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิง มีผลทำให้ยูริคในเลือดไม่สูงพบว่ายูริคในเลือดที่สูงนั้น กว่าร้อยละ 90 เกิดจากการสร้างขึ้นในร่างกายเอง อาหารเป็นแหล่งกำเนิดของยูริคในเลือดน้อยกว่าร้อยละ 10 เสียอีก ดังนั้นผู้ที่ไม่มียูริคสูงมาก่อน การกินอาหารที่มีพิวรีนสูงจึงไม่มีทางทำให้ระดับยูริคสูงได้ครับ
ถ้าปวดข้อแล้วไปเจาะเลือดพบว่ายูริคสูง แสดงว่าเป็นเก๊าท์หรือไม่
เป็น ความเข้าใจที่ผิดครับ การวินิจฉัยโรคเก๊าท์อาศัยประวัติและการตรวจร่างกายง่ายๆครับ ข้ออักเสบจากเก๊าท์วินิจฉัยได้ง่ายเพราะผู้ป่วยจะมีอาการ "ปวด บวม แดง ร้อน" ที่ข้อชัดเจน เป็นเร็วและมักเป็นข้อเดียว ข้อที่เป็นบ่อยได้แก่ ข้อนิ้วหัวแม่เท้า, ข้อเท้า, ข้อเข่า ถ้าผู้ป่วยปวดข้อแต่สงสัยว่ามีปวด บวม แดง ร้อนหรือไม่ หรือตรวจไม่พบ ไม่ชัดเจน ให้สงสัยว่าไม่ใช่เก๊าท์ครับ รายที่เป็นเรื้อรังอาจมีปวดหลายข้อและพบมีปุ่มก้อนที่รอบๆข้อ เช่น ข้อเท้า, ส้นเท้า, ข้อมือ, นิ้วมือได้ ถ้าก้อนเหล่านี้แตกออกจะพบตะกอนยูริคคล้ายผงชอล์กไหลออกมา
การเจาะ เลือดตรวจระดับกรดยูริคในเลือด ในช่วงที่มีข้ออักเสบอาจพบว่า สูง ต่ำ หรือเป็นปกติได้ครับ ดังนั้นผู้ที่มีข้ออักเสบเก๊าท์ ไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดในขณะนั้นและไม่ช่วยในการวินิจฉัยครับ ดังนั้น
- ถ้า อาการปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้อไม่ชัดเจน ถ้าเป็นที่ข้อบริเวณเท้า แล้วผู้ป่วยเดินได้สบาย แม้ว่าเจาะเลือดแล้วยูริคสูงก็ให้สงสัยว่าไม่ใช่เก๊าท์
- ถ้า มีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่ข้อชัดเจน เป็นในตำแหน่งข้อเท้า ข้อนิ้วหัวแม่เท้า เป็นเร็วแม้ว่าจะเจาะยูริคแล้วไม่สูงก็น่าจะเป็นเก๊าท์ครับ
ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย สำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์
การ ออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าในหลักการแล้วก็สามารถออกกำลังกาย ได้สม่ำเสมอ หากยังไม่มีอาการเฉียบพลันรุนแรงก็สามารถออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องได้ โดยเป็นการออกกำลังกายที่หลีกเลี่ยงการกระแทก เมื่อเป็นโรคเก๊าท์สามารถออกกำลังกายได้ เมื่อหายดีแล้วไม่ควรออกกำลังกายที่มีลักษณะหักโหม เช่น ปีนเขา หรือทำอะไรนานๆต้องระวังเหมือนกัน เพราะบางทีกระตุ้นให้เกิดอาการใหม่ได้ พยายามหากีฬาที่ลดแรงกระแทก ฉะนั้นคนไข้โรคเก๊าท์ส่วนมากจะไม่แนะนำให้วิ่งจ๊อกกิ้ง เพราะการกระแทกเหล่านั้นจะไปกระตุ้นให้โรคกำเริบมากขึ้น
วิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม ควรเป็นการว่ายน้ำ การปั่นจักรยานอยู่กับที่ หรือการออกกำลังกายส่วนแขน คือขยับแขน แกว่งแขน แต่ถ้าในช่วงที่มีอาการเฉียบพลัน ปวด บวมแดง ร้อน ควรงดเลย เพราะถ้ายิ่งฝืนไปออกกำลังกายจะไปกระตุ้นให้เป็นยาวนานขึ้น การบีบนวดหรือบางคนชอบเอายามาถูแล้วนวดก็จะยิ่งจะทำให้ยิ่งบวมมากขึ้น ปล่อยให้อยู่นิ่งๆจะหายเร็วกว่า การใช้น้ำอุ่นประคบก็ช่วยได้แต่ต้องไม่ร้อนมาก
การออกกำลังกาย มีข้อควรระวังสำหรับคนที่เป็นโรคเก๊าท์ สรุปได้ดังต่อไปนี้
อาหารกับโรคเก๊าท์? เป็นเก๊าท์ห้ามกินสัตว์ปีก?
ไม่ ห้ามครับ เพราะเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้น ยูริคที่สูงกว่าร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายสร้างขึ้นเอง อาหารเป็นส่วนประกอบน้อยมาก ต่อระดับยูริคในเลือด มีการทดลองให้อาสาสมัคร กินอาหารที่มีพิวรีนสูง ทั้ง 3 มื้อ เช่น สัตว์ปีก, เครื่องในสัตว์, ยอดผัก, ไข่ปลา เป็นต้น เป็นเวลาหลายสัปดาห์ พบว่าระดับยูริคในเลือดสูงขึ้นเพียง 1 มก./ดล. ดังนั้นคนธรรมดาที่ไม่ได้กินแต่อาหารที่มีพิวรีนสูงอย่างเดียว จึงแทบไม่มีผลต่อระดับยูริคในเลือดเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยเก๊าท์มักเป็นชายวัยกลางคนหรือสูงอายุซึ่งอาจมีโรคอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เบาหวาน, ความดันเลือดสูง ซึ่งจำเป็นต้องจำกัดหรืองดอาหารบางประเภทอยู่แล้ว การบอกให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารพิวรีนสูงเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยลำบากในการเลือกกินอาหารยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยเก๊าท์ที่กินยาลดยูริคอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเลี่ยงอาหารใดๆอีก จะเห็นได้ว่าโรคเก๊าท์เป็นโรคที่มีหลายคนยังเข้าใจผิดถึงโรคและการปฏิบัติ ตัว ทำให้เกิดความลำบากในการรักษาและสร้างความทุกข์กับผู้ป่วยด้วย
การ ออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าในหลักการแล้วก็สามารถออกกำลังกาย ได้สม่ำเสมอ หากยังไม่มีอาการเฉียบพลันรุนแรงก็สามารถออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องได้ โดยเป็นการออกกำลังกายที่หลีกเลี่ยงการกระแทก เมื่อเป็นโรคเก๊าท์สามารถออกกำลังกายได้ เมื่อหายดีแล้วไม่ควรออกกำลังกายที่มีลักษณะหักโหม เช่น ปีนเขา หรือทำอะไรนานๆต้องระวังเหมือนกัน เพราะบางทีกระตุ้นให้เกิดอาการใหม่ได้ พยายามหากีฬาที่ลดแรงกระแทก ฉะนั้นคนไข้โรคเก๊าท์ส่วนมากจะไม่แนะนำให้วิ่งจ๊อกกิ้ง เพราะการกระแทกเหล่านั้นจะไปกระตุ้นให้โรคกำเริบมากขึ้น
วิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม ควรเป็นการว่ายน้ำ การปั่นจักรยานอยู่กับที่ หรือการออกกำลังกายส่วนแขน คือขยับแขน แกว่งแขน แต่ถ้าในช่วงที่มีอาการเฉียบพลัน ปวด บวมแดง ร้อน ควรงดเลย เพราะถ้ายิ่งฝืนไปออกกำลังกายจะไปกระตุ้นให้เป็นยาวนานขึ้น การบีบนวดหรือบางคนชอบเอายามาถูแล้วนวดก็จะยิ่งจะทำให้ยิ่งบวมมากขึ้น ปล่อยให้อยู่นิ่งๆจะหายเร็วกว่า การใช้น้ำอุ่นประคบก็ช่วยได้แต่ต้องไม่ร้อนมาก
การออกกำลังกาย มีข้อควรระวังสำหรับคนที่เป็นโรคเก๊าท์ สรุปได้ดังต่อไปนี้
- หากยังมีการอักเสบของข้อต่อไม่ควรออกกำลังกาย เพราะจะทำให้การอักเสบนั้นหายช้าลง หรืออาจทำให้อาการแย่ไปกว่าเดิม
- ควรหยุดพักจนกว่าการอักเสบจะหมดไป แล้วค่อยเริ่มออกกำลังกายต่อไปอย่างต่อเนื่อง
- อย่าหักโหมออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว เพราะจะไปกระตุ้นระดับกรดยูริคในร่างกายให้สูงขึ้น ส่งผลให้อาการอักเสบกำเริบได้
อาหารกับโรคเก๊าท์? เป็นเก๊าท์ห้ามกินสัตว์ปีก?
ไม่ ห้ามครับ เพราะเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้น ยูริคที่สูงกว่าร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายสร้างขึ้นเอง อาหารเป็นส่วนประกอบน้อยมาก ต่อระดับยูริคในเลือด มีการทดลองให้อาสาสมัคร กินอาหารที่มีพิวรีนสูง ทั้ง 3 มื้อ เช่น สัตว์ปีก, เครื่องในสัตว์, ยอดผัก, ไข่ปลา เป็นต้น เป็นเวลาหลายสัปดาห์ พบว่าระดับยูริคในเลือดสูงขึ้นเพียง 1 มก./ดล. ดังนั้นคนธรรมดาที่ไม่ได้กินแต่อาหารที่มีพิวรีนสูงอย่างเดียว จึงแทบไม่มีผลต่อระดับยูริคในเลือดเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยเก๊าท์มักเป็นชายวัยกลางคนหรือสูงอายุซึ่งอาจมีโรคอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เบาหวาน, ความดันเลือดสูง ซึ่งจำเป็นต้องจำกัดหรืองดอาหารบางประเภทอยู่แล้ว การบอกให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารพิวรีนสูงเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยลำบากในการเลือกกินอาหารยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยเก๊าท์ที่กินยาลดยูริคอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเลี่ยงอาหารใดๆอีก จะเห็นได้ว่าโรคเก๊าท์เป็นโรคที่มีหลายคนยังเข้าใจผิดถึงโรคและการปฏิบัติ ตัว ทำให้เกิดความลำบากในการรักษาและสร้างความทุกข์กับผู้ป่วยด้วย
อาหารที่ทานกับการเป็นโรคเก๊าท์
ในหนังสือ "อาหารรักษาโรค" ของ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ เขียนข้อความชวนอมยิ้มไว้ว่า "หลายคนมองว่าเก๊าท์เป็นโรคที่เกิดจากการกินดีอยู่ดีมากเกินไป และเห็นภาพเจ้าตัวพุงพลุ้ยนั่งกระดกเบียร์เป็นเหยือกๆ แกล้มขาหมูทอดมันๆ" ซึ่งอันที่จริงแล้วเก๊าท์เป็นโรคข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกชน ชั้น และทุกวรรณะต่างหากล่ะ ทั้งนี้เก๊าท์จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของเรามีกรดยูริคในเลือดมากจนเกินไป แล้วตกตะกอนภายในข้อหรือระบบทางเดินปัสสาวะ จะทำให้มีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรืออาจเกิดนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะได้
มีรายงานจาก หฤทัย ใจทา นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ระบุว่า เก๊าท์มีสาเหตุหลักมาจากพันธุกรรมที่ร่างกายของเรา อาจมีความสามารถในการขับกรดยูริคได้น้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดการสะสมของกรดยูริคขึ้น ทั้งนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่ากรดยูริคในเลือดที่สูงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์นั้นเกิดจากร่างกายผลิตเองหลายท่านเลยให้ความเห็นว่า ดังนั้นอาจไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์งดอาหารที่มีสาร "พิวรีน" (สารในอาหารซึ่งจะสลายเป็นกรดยูริค)
อย่างไรก็ตามมีแพทย์หลายท่าน ให้ข้อสังเกตว่า มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการอักเสบของข้อเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน หลังจากที่ทานอาหารบางอย่าง (ซึ่งอาจเป็นของแสลงต่อร่างกายของเขา) "จึงอาจกล่าวได้ว่าแม้อาหารไม่ได้ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ แต่อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากขึ้นได้" ในกรณีของคนที่มีอาการของโรคอยู่แล้ว ผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่จะก่อให้เกิดการอักเสบ หรืออาหารบางอย่างที่จัดเป็นของแสลงต่อร่างกายตนเอง
คนป่วยโรคเก๊าท์ ควรเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นอาจยังไม่จำเป็นต้องเลี่ยง เพียงแต่ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อิ่มท้อง อิ่มใจ แบบไม่ต้องทรมานความอยากมากเกินไปก็พอแล้ว เอาล่ะมาดูกันดีกว่าว่าพวกเรา (ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยพุงพลุ้ยหรือไม่ก็ตาม) ควรกินอะไรเพื่อให้ห่างไกลเก๊าท์ และลดปริมาณกรดยูริคในร่างกายลงได้บ้าง
"ไก่" กับ "เก๊าท์"
"อย่ากินไก่เยอะนะ เดี๋ยวเป็นเก๊าท์" ดูเหมือนพวกเราจะได้ยินประโยคที่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างนี้กันอยู่เนืองๆ ซึ่งจริงๆ แล้วไก่ก็มีความเกี่ยวพันกับอาการเก๊าท์จริงๆ นั่นแหละครับ เพราะเนื้อไก่มีสารพิวรีนอยู่สูงปานกลาง ถ้ากินเยอะๆ อาจกระตุ้นให้ผู้ที่มีอาการเก๊าท์อยู่แล้ว เกิดการอักเสบมากขึ้น ทว่าอย่าเพิ่งถึงขั้นงดกินเลยครับ เพราะนักกำหนดอาหารแห่งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ได้แนะนำว่า คงไม่ต้องถึงกับงดทานสัตว์ปีกหรอกครับ เพียงแต่อาจต้องลดความถี่ในการทาน หรือทานในบริเวณที่เสี่ยงน้อย เช่น ไม่ทานตรงข้อ หรือทานบริเวณอกไก่แทนก็ได้ครับ
ในหนังสือ "อาหารรักษาโรค" ของ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ เขียนข้อความชวนอมยิ้มไว้ว่า "หลายคนมองว่าเก๊าท์เป็นโรคที่เกิดจากการกินดีอยู่ดีมากเกินไป และเห็นภาพเจ้าตัวพุงพลุ้ยนั่งกระดกเบียร์เป็นเหยือกๆ แกล้มขาหมูทอดมันๆ" ซึ่งอันที่จริงแล้วเก๊าท์เป็นโรคข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกชน ชั้น และทุกวรรณะต่างหากล่ะ ทั้งนี้เก๊าท์จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของเรามีกรดยูริคในเลือดมากจนเกินไป แล้วตกตะกอนภายในข้อหรือระบบทางเดินปัสสาวะ จะทำให้มีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรืออาจเกิดนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะได้
มีรายงานจาก หฤทัย ใจทา นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ระบุว่า เก๊าท์มีสาเหตุหลักมาจากพันธุกรรมที่ร่างกายของเรา อาจมีความสามารถในการขับกรดยูริคได้น้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดการสะสมของกรดยูริคขึ้น ทั้งนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่ากรดยูริคในเลือดที่สูงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์นั้นเกิดจากร่างกายผลิตเองหลายท่านเลยให้ความเห็นว่า ดังนั้นอาจไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์งดอาหารที่มีสาร "พิวรีน" (สารในอาหารซึ่งจะสลายเป็นกรดยูริค)
อย่างไรก็ตามมีแพทย์หลายท่าน ให้ข้อสังเกตว่า มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการอักเสบของข้อเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน หลังจากที่ทานอาหารบางอย่าง (ซึ่งอาจเป็นของแสลงต่อร่างกายของเขา) "จึงอาจกล่าวได้ว่าแม้อาหารไม่ได้ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ แต่อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากขึ้นได้" ในกรณีของคนที่มีอาการของโรคอยู่แล้ว ผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่จะก่อให้เกิดการอักเสบ หรืออาหารบางอย่างที่จัดเป็นของแสลงต่อร่างกายตนเอง
คนป่วยโรคเก๊าท์ ควรเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นอาจยังไม่จำเป็นต้องเลี่ยง เพียงแต่ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อิ่มท้อง อิ่มใจ แบบไม่ต้องทรมานความอยากมากเกินไปก็พอแล้ว เอาล่ะมาดูกันดีกว่าว่าพวกเรา (ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยพุงพลุ้ยหรือไม่ก็ตาม) ควรกินอะไรเพื่อให้ห่างไกลเก๊าท์ และลดปริมาณกรดยูริคในร่างกายลงได้บ้าง
"ไก่" กับ "เก๊าท์"
"อย่ากินไก่เยอะนะ เดี๋ยวเป็นเก๊าท์" ดูเหมือนพวกเราจะได้ยินประโยคที่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างนี้กันอยู่เนืองๆ ซึ่งจริงๆ แล้วไก่ก็มีความเกี่ยวพันกับอาการเก๊าท์จริงๆ นั่นแหละครับ เพราะเนื้อไก่มีสารพิวรีนอยู่สูงปานกลาง ถ้ากินเยอะๆ อาจกระตุ้นให้ผู้ที่มีอาการเก๊าท์อยู่แล้ว เกิดการอักเสบมากขึ้น ทว่าอย่าเพิ่งถึงขั้นงดกินเลยครับ เพราะนักกำหนดอาหารแห่งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ได้แนะนำว่า คงไม่ต้องถึงกับงดทานสัตว์ปีกหรอกครับ เพียงแต่อาจต้องลดความถี่ในการทาน หรือทานในบริเวณที่เสี่ยงน้อย เช่น ไม่ทานตรงข้อ หรือทานบริเวณอกไก่แทนก็ได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น