วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ระฆังจิต

เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฝึกจิตให้มีสติ ตลอดครับ
โดยตัวโปรแกรมจะนับเวลาถอยหลังแล้วให้แสดงเสียงระฆังตามที่เราได้ตั้งไว้
จากตัวอย่างผมต้องการให้เสียงดังทุกๆ 2 นาที
ลองนำไปใช้ดูครับ



Download ได้ที่นี้ครับ
bellSound1.0.rar - 4shared.com - การจัดเก็บแฟ้มและใช้งานร่วมกันออนไลน์ - ดาวน์โหลด

เมนูสวาปาม 1/3/56














1 /3/56

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ซิโก สอนบอล ทุ่งครุ


 ไปสมัครซ้อมบอลกับซิโก

ไปศูนย์กีฬาบางมด อยู่ที่สนามกีฬาบางมด
เปิดเที่ยง

เอาใบสูจิบัตรไปด้วยจะสามารถสมัตรได้เลย
ถ้าติดขัดอะไรก็เอาใบสมัคร5ใบมากรอกที่บ้านได้

เบอร์โทร พาวเวอบายและบิ๊กซี

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

ปฏิวัติตัวเอง

 http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9560000039388

จากหนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณที่ถูกโรคร้ายรุมเร้าถึง 6 โรค ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบรุนแรง และปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ซึ่งจากประสบการณ์ทางแพทย์ที่สั่งสมมา ทำให้เขารู้ว่า โรคร้ายเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงกินยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น
     
       แต่เมื่อเขานำศาสตร์ในการดูแลตัวเองด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการค้นคว้าและทดลองปฏิบัติด้วยตัวเองมาใช้ ‘นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์’ กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลราชธานี โรงพยาบาลชื่อดังของจังหวัดอยุธยา และประธานกรรมการบริหารเวลเนสซิตี้ กรุ๊ป ก็ต้องพบกับความอัศจรรย์ว่า เขาสามารถขจัดโรคร้ายทั้ง 6 โรคได้ภายในระยะเวลาแค่ 4 เดือน
     
       • 6 โรคร้ายรุมเร้าจนต้องลุกขึ้นมาหาวิธีปฏิวัติตัวเอง
     
       คุณหมอบุญชัยเล่าว่า ด้วยการใช้ชีวิตแบบคนเมืองที่เต็มด้วยความ เร่งรีบ ความเครียดที่เกิดจากการทำงานและการกินอาหารตามความเคยชิน ส่งผลให้สุขภาพของเขาเริ่มมีปัญหา และสั่งสมเรื่อยมาจนกลายเป็นโรคร้ายถึง 6 โรคด้วยกัน
     
       น้ำหนักของเขาขึ้นไปถึง 113 กิโลกรัม ระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 294 ขณะที่ความดัน ตัวบนอยู่ที่ 170 ตัวล่าง 110 อีกทั้งไขมันในเลือดยังผิดปกติ!!
     
       แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แม้เขาจะเป็นหมอที่ช่วยชีวิตคนไข้มามากมาย แต่เขากลับไม่สามารถรักษาโรคเหล่านี้ของตัวเองให้หายขาดได้
     
       ในทางกลับกันโรคที่เป็นอยู่กำลังเป็นสะพานที่นำไปสู่โรคภัยที่ร้าย แรงขึ้น จุดนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้คุณหมอหันมาศึกษาค้นคว้า เพื่อหาทางแก้ไขและลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองอย่างจริงจัง
     
       “ความจริงหลายๆโรคที่เป็นเนี่ยะ เราก็รู้มาก่อนอยู่แล้ว อย่างโรคอ้วน โรคเม็ดเลือดแดงมากเกินไป โรคตับอักเสบเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง แต่สาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองก็คือ เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ปี 53 ผมตรวจร่างกาย พบว่า เป็นเบาหวานและน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งโรคเบาหวานมันเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคต่างๆตามมาอีกเยอะ เช่น โรคหัวใจ เส้นเลือดในสมองตีบ ตาบอดเพราะเบาหวานขึ้นตา
     
       โรคเบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงรักษาตามอาการ กินยาเพื่อรักษาระดับน้ำตาล ซึ่งต้องกินยาตลอดชีวิต แต่การกินยามากๆ จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคือ ทำให้ตับเสื่อมและไตวาย ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมมองหาวิธีการใหม่ที่จะมีโอกาสหายจากโรคเบาหวานหลากหลาย วิธีการ
     
       วิธีการที่ผมใช้เริ่มจากพื้นฐานความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ และอาศัยความรู้หลายอย่างประกอบกัน ทั้งความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี วิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ความรู้เรื่องการเจริญของโลก ความรู้เรื่องมานุษยวิทยา ความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ซึ่งเราก็เอาหลายๆอย่างมาผสมผสานกัน เพื่อหารากเหง้าความเป็นมาว่า มนุษย์เรามีความเป็นมาอย่างไร คือคนในปัจจุบันไม่ได้ดำรงอยู่ตามธรรมชาติ เพราะเราสั่งสมวัฒนธรรมความรู้เพื่อจะทำให้เราดำรงชีวิตอย่างสะดวกสบาย ซึ่ง การที่เราใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วย ดังนั้น การที่เราจะหายป่วยได้ เราก็ต้องไปหาว่า การใช้ชีวิตตามธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร” นพ.บุญชัย เล่าย้อนให้ฟังถึงสาเหตุที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง
     
       • ค้นพบศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' สลายโรคร้าย
     
       จากการศึกษาวิเคราะห์ศาสตร์ต่างๆ ทำให้คุณหมอบุญชัยได้ข้อสรุปว่า อาหารที่คนเรานิยมบริโภคอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติและความต้องการของร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแก้ที่ต้นเหตุคือ ปรับเปลี่ยนวิธีการกินและการดำรงชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ จึงเกิดเป็นศาสตร์ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' ที่คุณหมอค้นพบด้วยตัวเอง
     
       การค้นพบครั้งนี้ได้สร้างความอัศจรรย์ให้แก่วงการแพทย์อย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่คุณหมอนำศาสตร์ดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็ปรากฏว่า โรคร้ายที่คุณหมอบุญชัยเป็นอยู่ถึง 6 โรคนั้นได้อันตรธานหายไปภายระยะเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้น
     
       “จากการศึกษาทำให้เราพบว่า จริงๆแล้วมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช ซึ่งอยู่ในตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตระกูลเดียวกับลิง สมัยดึกดำบรรพ์เรากินผักและผลไม้เป็นหลัก ซึ่งผักผลไม้ที่เรากินจะเป็นพวกใบอ่อน ย่อยง่าย และก็กินพวกเนื้อสัตว์บ้าง กินไข่ กินดินโป่งเป็นอาหารเสริม แต่ปัจจุบันเราไม่ได้กินแบบนี้อีกแล้ว วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้อาหารการกินของเราเปลี่ยนไป กลายเป็นว่าเราบริโภคสิ่งที่ไม่เหมาะกับร่างกายของมนุษย์ ผมก็มานั่งคิดว่า ถ้าเราจะใช้ชีวิตตามธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ เราจะทำยังไง จะปรับได้ขนาดไหน
     
       ผมจึงออกแบบชีวิตในปัจจุบันให้ปลอดภัยในระดับที่สามารถรักษาโรคที่ เกิดจากการใช้ชีวิตผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถใช้ชีวิตในการทำงานแบบคนเมืองได้ คือต้องสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตตามกฎธรรมชาติและการใช้ชีวิตแบบคนเมือง เราก็ใช้วิธีการทดลอง ดูจากตำรา ดูจากงานวิจัย และการทดลองปฏิบัติ ทำให้ได้ข้อสรุปของวิธีดำเนินชีวิตตามกฎธรรมชาติ
     
       สรุปออกมาเป็นข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ และสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ 5 ข้อ ซึ่งเรียกสั้นๆว่า กฎห้าม 5 ต้อง 5” นพ.บุญชัย พูดถึงศาสตร์การคืนสู่วิถีธรรมชาติที่เขาค้นพบ
     
       • มหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ
       โรคร้ายหายเป็นปลิดทิ้ง

     
       หลังจากที่คุณหมอบุญชัยปฏิบัติตามกฎ ‘ห้าม 5 ต้อง 5' เขาก็พบกับความมหัศจรรย์แห่งวิถีธรรมชาติ เพราะสุขภาพของเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และโรคร้ายที่เป็นอยู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง
     
       “ผมเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตมาตั้งแต่ปี 2553 ถึงตอนนี้ก็ 2 ปีกว่าแล้ว ซึ่งหลังจากเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตแค่เดือนก็เห็นผลแล้ว พอถึงเดือนที่ 4ปรากฎว่า 6 โรคที่เป็นหายหมดเลย ยกเว้นไขมันในหลอดเลือดยังลดลงไม่ถึงระดับ คือโรคอ้วนก็หาย จากเดิมน้ำหนัก 114 กก. ลดลงเหลือ 89 กก. น้ำหนักผมลดลงไป 25 กก.
     
       ตอนนี้โรคต่างๆหายหมดแล้ว เบาหวานก็หาย น้ำตาลในเลือดที่เคยขึ้นไปถึง 294 ปัจจุบันเหลือ 90 มันลดลงเอง ไม่ต้องใช้ยาเลย ความดันผมลดลงจาก ตัวบน 170 เหลือ 105 ตัวล่างจาก 110 เหลือ 70 เส้นเลือดที่เคยแข็ง เส้นเลือดที่อุดตัน ก็เปลี่ยนเป็นเหนียว ยืดหยุ่นดี
     
       คือมันเป็นวิธีที่ง่ายมากๆ เหมือนเส้นผมบังภูเขา แต่เรามองไม่ออก คือการ ใช้ยานอกจากจะแค่รักษาตามอาการ ไม่หายขาดแล้ว ยังมีผลข้างเคียงด้วย แล้วถ้าใช้ยาเราก็จะไม่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เพราะเราคิดว่ายาช่วยเราได้ คืออวัยวะที่มันเสื่อมไปเนี่ยะมันฟื้นไม่ได้
     
       อย่างเช่นโรคเบาหวาน เกิดขึ้นเพราะตับอ่อนเสื่อมจึงผลิตอินซูลินได้ไม่ดี แต่ร่างกายต้องใช้อินซูลินในการควบคุมน้ำตาล เมื่อผลิตอินซูลินได้น้อยน้ำตาลในเลือดก็ขึ้น พอเราปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต ร่างกายดีขึ้น ตับอ่อนฟื้นตัวขึ้นก็ผลิตอินซูลินได้ดี เมื่อมีอินซูลินมาควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด น้ำตาลในเลือดก็ลดลงโดยไม่ต้องใช้ยาเลย” นพ.บุญชัย กล่าวถึงชีวิตใหม่ที่เขาได้รับหลังจากกลับมาสู่วิถีธรรมชาติ
     
       • เดินหน้าเผยแพร่แนวคิดพิชิตโรค
     
       เมื่อค้นพบวิธีที่สามารถทำให้หายจากโรคร้าย ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิต ซึ่งนอกจากจะเป็นวิธีที่ง่าย และประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเห็นผลอย่างรวดเร็ว
     
       ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นหมอที่อยากเห็นคนไข้หายป่วยและกลับมามี สุขภาพที่ดี คุณหมอบุญชัยจึงตั้งใจที่จะเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวให้แก่คนไข้และบุคคลทั่ว ไป ทั้งโดยการบรรยายให้แก่หน่วยงานและโรงพยาบาลต่างๆ และการเขียนหนังสือเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้แบบง่ายให้ผู้ที่สนใจนำไปปฏิบัติ
     
       “ปกติผมจะมีคอร์สบรรยายเรื่องการรักษาโรคโดยไม่ต้องใช้ยา แต่ใช้วิธีปรับการใช้ชีวิต ผมจัดเป็นหลักสูตร แล้วก็เอาหลักสูตรที่ได้มาเขียนลงหนังสือ เอาความรู้ที่ได้มาสอนคนอื่นต่อ ก็มีองค์กรใหญ่ๆติดต่อเข้ามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารออมสิน การประปานครหลวง บริษัทปูนซิเมนไทย บริษัทการบินไทย ผมอบรมไปเกือบหมื่นคนแล้ว ผมไปบรรยายตามโรงพยาบาลที่ต้องการให้จำนวนคนไข้ลดลง เช่น ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี
     
       คนไข้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของผมแล้วมีเยอะมาก คือถ้าปฏิบัติจริงจังต้องเห็นผลทุกราย จากสถิติคนที่ผ่านการอบรมในคอร์สของผมเนี่ย สามารถปฏิบัติอย่างจริงจังและได้ผลเต็มที่ประมาณ 30 % ปฏิบัติได้พอประมาณและได้ผลดี ประมาณ 40% ส่วนที่เหลืออีก 30% ก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม เลยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร คือหลักสูตรของผมนั้นไม่ใช่ว่าเอายาลูกกลอนไปกิน 10 หม้อแล้วหาย แต่มันคือหลักสูตรการเปลี่ยนชีวิตคน” นพ.บุญชัยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
     
       • ขอเพียงมีศรัทธาต่อชีวิต โรคร้ายก็หายได้
     
       คุณหมอบุญชัยยังได้กล่าวตบท้ายให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยทุกคนว่า ขอเพียงมีศรัทธาก็สามารถหายจากโรคร้ายและกลับมามีชีวิตใหม่ได้แน่นอน
     
       “ถ้าไม่เป็นโรค เราก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ผมโชคดีที่ผมเป็นโรคที่เราวัดได้ว่าเปลี่ยนแปลงตัวเอง 10 ข้อแล้วเห็นผล มันก็เกิดกำลังใจ เกิดการเรียนรู้ เกิดการค้นคว้าจนได้คำตอบ
     
       ผมจึงอยากให้ผู้ป่วยทุกคนมีศรัทธาต่อชีวิต มีความหวัง โรคทุกโรคเนี่ยะถ้าเรามีความเชื่อว่าเราจะหาย มีพลัง มีความมุ่งมั่น เราก็มีโอกาสหาย และถ้าเราปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้องเราก็สามารถหายได้
     
       เพราะว่าร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางธรรมชาติที่วิเศษที่สุด เพราะมันฟื้นฟูตัวเองได้ มันแก้ไขอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตัวเอง ขอเพียงแต่อย่าเอาจิตเราไปขวางมัน เราเพียงแต่เติมเต็มสิ่งที่จะเสริมสร้างร่างกายเรา เช่น อาหาร น้ำ อากาศ อย่างถูกต้อง พวกนี้ก็จะเป็นวัตถุดิบที่จะไปสร้างร่างกายเรา ขบวนการซ่อมตัวเองจะเกิดขึ้น”
     
       • ข้อห้ามปฏิบัติ 5 ข้อ
     
       1. ห้ามจินตนาการเชิงลบ
เนื่องจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ดังนั้น ไม่ว่าคิดบวกหรือคิดลบก็ล้วนมีผลต่อร่างกายทั้งสิ้น ดังนั้น หากเราจินตนาการเชิงลบจะก่อให้เกิดความเครียด อารมณ์ร้าย ซึ่งจะเป็นผลลบต่อร่างกาย
     
       2. ห้ามอ้วน เนื่องจากความอ้วนเป็นบ่อเกิดแห่งโรค ซึ่งเราจะพบว่า คนสมัยก่อนนั้นใช้ชีวิตตามป่าเขา หากินตามวิถีธรรมชาติ มีโอกาสได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงไม่อ้วนเหมือนผู้คนในปัจจุบัน ทำให้คนสมัยก่อนไม่ค่อยเป็นโรค
     
       3. ห้ามรับประทานน้ำตาล รวมถึงขนมและอาหารที่ใส่น้ำตาล เนื่องจากความจริงแล้วอาหารที่เราได้จากธรรมชาตินั้นมีแป้งและน้ำตาลอยู่ แล้ว ซึ่งน้ำตาลตามธรรมชาตินั้นมีสัดส่วนที่พอดีและเหมาะกับร่างกาย แต่ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ติดหวาน เพราะเคยชินกับการเติมน้ำตาลในอาหารมาก จึงทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา
     
       4. ห้ามรับประทาน Trans Fat หรือไขมันที่ผ่านความร้อน เพราะเมื่อไขมันผ่านความร้อน ไอน้ำในอากาศจะแตกตัว ทำให้ไฮโดรเจนในโมเลกุลของไอน้ำเข้าไปฝังตัวอยู่ในคาร์บอนของไขมันชนิดที่ ไม่อิ่มตัวและดึงไขมันอิ่มตัวขึ้นมา ซึ่งไขมันอิ่มตัวนี้เรียกว่า Trans Fat มักอยู่ในของทอด โดยคนที่กินอาหารทอดมากๆ มักเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
     
       5. ห้ามรับประทานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น หมู วัว แพะ แกะ ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ใหญ่ เนื่องจากหากศึกษาจากโครงสร้างจะพบว่ามนุษย์เป็นสัตว์กินพืช โดยฟันของมนุษย์เป็นฟันแบบตัดซึ่งเหมาะกับการบดเคี้ยวพืช แต่เนื้อสัตว์ใหญ่จะมีลักษณะเหนียวเกินกว่าฟันมนุษย์จะบดเคี้ยวได้
     
       นอกจากนั้น ลำไส้ของมนุษย์ยังมีลักษณะยาวมาก ทำให้เนื้อที่เหนียวและต้องใช้เวลาย่อยหลายวันไปเน่าอยู่ในลำไส้ จึงเกิดเชื้อแบคทีเรียและสารพิษตามมา
     
       • ข้อควรปฏิบัติ 5 ข้อ
     
       1. เน้นการกินพืชผักผลไม้
ซึ่งเป็นอาหารตามวิถีดั่งเดิมของมนุษย์ ในปริมาณครึ่งหนึ่งในแต่ละมื้ออาหาร โดยเน้นผักผลไม้ที่ไม่หวานจัด และไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงสุก เนื่องความร้อนจะไปทำลายวิตามิน เอนไซม์ และสารต่างๆที่มีลักษณะเป็นยา หากทำได้ทุกมื้อก็จะเป็นเหมือนยาอายุวัฒนะ
     
       2. กินข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีและยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่ เพราะจะทำให้ได้สารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรลดปริมาณข้าวและคาร์โบไฮเดตลงตามลำดับ เนื่องจากจริงๆข้าวและคาร์โบไฮเดตไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่วิวัฒนาการทางวัฒนธรรมทำให้เราหันมาบริโภคข้าวและคาร์โบไฮเดตจนเกิดความ เคยชิน และกลายเป็นการบริโภคเกินความจำเป็น
     
       3. ออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง โดยออกกำลังกายในระดับที่เหงื่อออก หัวใจเต้นแรง ได้หอบหายใจ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายขับพิษออกหลายๆทาง ระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองจะทำงาน ซึ่งระบบหมุนเวียนน้ำเหลืองนั้นเป็นระบบป้องกันโรคที่สำคัญของมนุษย์
     
       นอกจากนั้น ขณะที่หอบหายใจนั้น ร่างกายจะเอาอากาศออกจากปอดได้ทั้งหมด ทำให้อากาศที่อยู่ในปอดสะอาดและมีปริมาณออกซิเจนสูง
     
       4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงการนอนหลับที่ดีที่สุดคือช่วง 22.00-02.00 น. เนื่องจากช่วงดังกล่าวร่างกายจะผลิตเมลาโพนินฮอร์โมนออกมา ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เราง่วง พอหลับสนิทร่างกายก็จะหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะทำให้เด็กเจริญเติบโต ถ้าเป็นผู้ใหญ่จะทำให้เกิดการซ่อมสร้างในเวลาที่รวดเร็ว
     
       5. การมีจินตนาการเชิงบวก คือการจะให้ร่างการมีสุขภาพดี เราจะต้องมีจินตนาการเชิงบวกต่อสุขภาพ ทำให้ชีวิตเรามีความสุข สุขภาพดี แข็งแรง ร่างกายจะเป็นไปตามที่เราคิด ถ้าเราเครียดร่างกายเราก็จะอ่อนแอ จิตใต้สำนึกมันส่งผลต่อร่างกาย
     
       (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 148 เมษายน 2556 โดย กฤตสอร)

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

ปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุทธ


ลูกเดือยกับข้าวบาร์เลย์

  ลูกเดือย V.S. ข้าวบาร์เลย์

ลูกเดือย>>>เม็ดจะใหญ่กว่า และเมื่อต้มแล้วมันจะฟูๆ

ข้าวบาร์เลย์>>>จะเป็นเม็ดกลมๆเล็กเหมือนข้าวญี่ปุ่น กินแล้วหนึบๆดี


ลูกเดือย 120 บาทต่อกิโล ส่วนข้าวบาเล่ย์ 50 บาทต่อกิโล

ซึ่งทั้ง 2 เป็นพืชตระกูลเดียวกันค่ะ

ลูกเดือย
อันดับ Poales
วงศ์ Poaceae
สกุล Coix

ข้าวบาร์เลย์

อันดับ Poales
วงศ์ Poaceae
สกุล Hordeum

การอ้างอิง

คาถา อาหาร



มะนุชัสสะ สะทา สตีมะโต มัตตัง ชานะโต ลัทธะโภชะเน
ตะนุกุสสะ ภะวันติ เวทะนา สะณิกัง ชีระติ อายุ ปาละยัง

....ผู้มีสติรู้ตัวตลอดเวลาขณะกินอาหาร จะมีโรคน้อย แก่ช้า และอายุยืน....

(นิวรณ์ ๕) อันประกอบด้วย
ความพอใจในกาม
ความผูกใจพยาบาท
ความง่วงเหงาหาวนอนขณะภาวนา
ความคิดฟุ้งซ่านรำคาญหงุดหงิด
ความลังเลสงสัยในประโยชน์ของการภาวนา

i like it



การชนะ คนอื่น หมื่นแสนหน
เดี๋ยวกลับตน เป็นแพ้ ไม่แน่หนอ
ชนะตน จากชั่ว เท่านั้นพอ
ย่อมเกิดก่อ สุขแท้ แก่ตนเอง



จากหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

หอจดหมายเหตุพุทธทาส

 รูปภาพ

หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
หรือสวนโมกข์ กรุงเทพฯ (Suanmokkh Bangkok)
สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ถ.นิคมรถไฟสาย 2
แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
โทรศัพท์ 02-936-2800, โทรสาร 02-936-2900


ภายใต้การดูแลและบริหารงานโดย
คณะกรรมการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ


“สวนโมกข์” อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นธรรมสถานที่ “ท่านพุทธทาส” ก่อกำเนิดขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งสำหรับให้สาธุชนได้ค้นคว้า ศึกษาธรรมะ และแต่ละวันก็มีคนเดินทางไปเยือนจำนวนมากมาย แต่ตอนนี้สาธุชนที่สนใจคำสอนแนวท่านพุทธทาส มีทางเลือกเพิ่มขึ้นแล้ว คือที่ สวนโมกข์ กรุงเทพฯ ที่ตั้งอยู่ภายใน สวนวชิรเบญจทัศ หรือสวนรถไฟ แขวง/เขตจตุจักร กรุงเทพฯ สวนสาธารณะอันร่มรื่นด้วยธรรมชาติกลางกรุง เปิดให้สาธุชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา โดยไม่ต้องเดินทางไกล

ภายในมี “หอ จดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ” สถานที่เก็บรักษา อนุรักษ์ ศึกษาค้นคว้า และเผยแผ่ผลงานของท่านพุทธทาส และยังเป็นสถานที่ที่ส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงหัวใจของศาสนา หรือศูนย์เรียนรู้และบริการด้านศาสนธรรม เป็นศูนย์รวมข้อมูลธรรมะตลอดช่วงชีวิต 87 ปีของท่านพุทธทาส ระหว่างปี 2449-2536 สิ่งเหล่านั้นเป็นสมบัติ คลังมรดกทางปัญญาอันยิ่งใหญ่ สมควรจัดเก็บอนุรักษ์ไว้ให้เป็นระบบ ซึ่งมีประมาณ 27,347 รายการ ก่อนที่จะปล่อยให้เสี่ยงต่อการชำรุดเสียหาย

ต้น ฉบับผลงานที่สำคัญของท่านพุทธทาส ที่จะย้ายจากสวนโมกข์ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ก็ได้นำมาไว้ที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ พร้อมทำความสะอาดและซ่อมแซมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสติปัญญาและจิตใจของผู้คนให้เจริญเติบโต จนกล้าแข็งในความถูกต้องดีงามอย่างรื่นรมย์ จนสามารถเป็นผู้ที่อยู่เย็นและเป็นประโยชน์ต่อสังคมยิ่งขึ้นไปอีก

อาคารสวนโมกข์แห่งนี้ สร้างขึ้นกลางสระน้ำใหญ่ เมื่อแรกเข้า จะพบความสงบ เน้นความเรียบง่าย ประกอบด้วย ลานหินโค้ง และสระนาฬิเกร์ ซึ่งจำลองจากสวนโมกข์ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี

สถาน ที่เป็นอาคาร 3 ชั้น ประกอบด้วย ชั้นที่ 1 ห้องหนังสือและสื่อธรรม ชั้น 2 สวนปฏิจจสมุปบาท ห้องปฏิบัติธรรมและประชุมสัมมนา ห้องนิทรรศการ นิพพานชิมลอง และชั้น 3 ห้องประชุม ห้องจดหมายเหตุ สำนักงาน ห้องค้นคว้า “มหรสพทางวิญญาณเพื่อนิพพานชิมลอง” สถานที่ปฏิบัติสมถวิปัสสนา ที่สำคัญเป็นสถานที่ในการจัดเก็บผลงานของท่านพุทธทาส ทั้งหนังสือ บันทึก และลายมือต้นฉบับ จำนวน 575,000 หน้า ภาพ 51,300 ชิ้น เสียงและโสตทัศน์ 234 แผ่น

สำหรับไฮไลต์ของสวนโมกข์ กรุงเทพฯ คือ นิทรรศการ “นิพพานชิมลอง” บริเวณชั้นที่ 2 เป็นการจัดห้องประชาชนเข้าไปสัมผัส โดยแบ่งเป็น 5 โซน ประกอบด้วย

ห้องที่ 1 เสียงสงบใจที่ท่านจะได้รับประสบการณ์ คือการพินิจภาพ โดยทุกคนจะจดจ่อฟังเสียงระฆัง รวบรวมพลังความสงบภายในจิตใจ

ห้องที่ 2 คือ นิพพานที่ข้าพเจ้ารู้จัก ภายในห้องนี้เปรียบเสมือน “โรงมหรสพทางวิญญาณ” เป็นเวทีจัดแสดงสื่อธรรมร่วมสมัยที่หลากหลาย ทั้งภาพยนตร์ ประติมากรรม “ก้อนหินพูดได้” และถ้อยคำชวนคิดสะกิดใจ “นิพพาน อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก"

ห้องที่ 3 ไตร่ตรองลองชิม เป็นการทำภาวะของใจที่สงบ เย็นว่างจากความโลภ หลง ด้วยการมีสติรู้สึกตัวทั่วพร้อมทุกลมหายใจเข้าออก หรือเรียกว่า อานาปานสติ

ห้องที่ 4 สงบเย็นและเป็นประโยชน์ เป็นการรวบรวมสิ่งของเครื่องใช้ของท่านพุทธทาส พร้อมเสียงบรรยายธรรม และผลงานระบือธรรมชิ้นสำคัญ และปณิธาน 3 ประการ ที่ฝากไว้ในพินัยกรรม และ

ห้อง 5 มุมสื่อสารเพื่อสืบสานปณิธานพุทธทาส ให้ท่านทั้งหลายร่วมบริจาคและสมทบทุน

สวน โมกข์ กรุงเทพฯ จึงไม่ได้เป็นเพียงแหล่งให้ความรู้แก่คนกรุงที่ใฝ่ธรรม หรือศรัทธาหลักธรรมคำสอนของท่านพุทธทาสเท่านั้น หากแต่สถานที่แห่งนี้ ยังเป็นแหล่งสงบทางจิตใจให้คนกรุงที่มีชีวิตเร่งรีบ วุ่นวายในทางโลก ได้ปลีกตัวออกมาพักเหนื่อย เติมพลังใจ พลังจิตวิญญาณ ค้นหาแก่นของธรรมและเข้าใจชีวิตได้มากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คุ้มค่าได้ประโยชน์ทางกายและใจแล้ว ยังส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบที่เรียกว่า อิ่มบุญ อิ่มใจ แถมยังได้ลดพลังงานขนานแท้อีกด้วย เชื่อว่าสำหรับบรรดาคนที่สนใจใฝ่หาเรื่องราวดีๆ มาเติมเต็มให้ชีวิต รับรองมาแล้วต้องกลับมาอีกอย่างแน่นอน

ผู้ที่เคารพศรัทธาท่านพุทธทาสยังสามารถสมัครเป็น อาสาสมัคร เพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่กำลังดำเนินการและจะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการเป็นอาสาสมัครงานจดหมายเหตุ, อาสาสมัครงานฐานข้อมูลดิจิตอล, อาสาสมัครงานอินเทอร์เน็ต, อาสาสมัครบริการหนังสือและสื่อธรรมะ, อาสาสมัครจัดกิจกรรม ณ ลานหินโค้งและโถงใหญ่, อาสาสมัครโรงมหรสพทางวิญญาณเพื่อนิพพานชิมลอง, อาสาสมัครจัดประชุมสัมมนาและกิจกรรม, อาสาสมัครกิจกรรมฝึกฝนปฏิบัติสมถวิปัสสนา, อาสาสมัครบริการค้นคว้า ศึกษา วิจัยและพัฒนา, อาสาสมัครถอดเสียงคำบรรยายเพื่อการเผยแพร่, อาสาสมัครแปลงานเพื่อการเผยแพร่, อาสาสมัครจัดทำต้นฉบับหนังสือเพื่อการเผยแพร่, อาสาสมัครการบริหารจัดการ, อาสาสมัครประสานงานภาคีกัลยาณมิตร, อาสาสมัครการสื่อสารประชาสัมพันธ์ และอาสาสมัครจัดการอาคารสถานที่ ฯลฯ

รูปภาพ

รูปภาพ
ที่นั่งทำจากหินสะอาด สำหรับให้สาธุชนประกอบพุทธกิจต่างๆ

รูปภาพ
ภายในหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์ กรุงเทพฯ)


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แผนที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์ กรุงเทพฯ)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2866

เว็บไซต์หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
http://www.bia.or.th/
http://www.dhamma4u.com/
http://www.facebook.com/buddhadasaarchives

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง

แม่ชีทศพร

แผนที่วัดพิชยญาติการาม (วัดพิชัยญาติ)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3993

เว็บไซต์วัดพิชยญาติการาม (วัดพิชัยญาติ)
http://www.phichaiyat.com/

เว็บไซต์แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม
http://www.thossaporn.com/

รูปภาพ
แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

1. สัมภาษณ์พิเศษ “แม่ชีทศพร ชัยประคอง” ผู้มีตาทิพย์
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1524

2. กะเทาะชีวิตแม่ชีทศพร ผู้หยั่งรู้ “เกิดแต่กรรม”
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=960

3. แก้กรรมด้วยพลังธรรม
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1527

4. เมื่อ...แม่ชีทศพร “ตรวจกรรมในคุกคลองเปรม”
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10290

5. ทำไม !...แม่ชีธนพรถึงล่วงรู้เรื่องกรรม
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6701

6. รู้ชอบ ชั่วดี ย่อมเกิดกับผู้มีสติ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10288

7. ระเบียบการปฏิบัติธรรม ณ วัดพิชยญาติการาม และแผนที่
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=3103

8. เที่ยว “วัดพิชัยญาติ” ชมภาพสลัก “สามก๊ก” หนึ่งเดียวในประเทศ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13330


* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เกาท์

โรคเก๊าท์ เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้นในคนไทย โดยเฉพาะผู้ชาย และค่อนข้างมีอายุหน่อย ทางการแพทย์รู้จักเก๊าท์มานานแล้ว แต่จนปัจจุบัน ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อโรคนี้อยู่มาก ทั้งตัวแพทย์ผู้รักษาเอง และผู้ป่วย นำมาซึ่งความเชื่อผิดๆ อยู่ให้เห็นในปัจจุบัน เก๊าท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดจากร่างกายมีกรดยูริคสูงอยู่ในเลือดเป็นเวลานาน และด้วยคุณสมบัติของยูริคเอง ที่มีการละลายได้จำกัด (ประมาณ 7 มก./ดล.) ทำให้ยูริคส่วนเกินนี้ เกิดการตกตะกอนในร่างกาย

ที่พบมากและทำให้ เกิดอาการคือ ในข้อต่างๆ, ในไตและเมื่อเป็นเรื้อรัง จะเห็นการตกตะกอนตามเนื้อเยื่อต่างๆ เห็นเป็นปุ่มก้อนตามแขนขาได้กรดยูริค (Uric acid) เป็นผลผลิตจากการสลายสารพิวรีน (purine) ซึ่งเป็นสารสำคัญในการสร้างสาย DNA ในเซลล์ต่างๆ ดังนั้นการสลายเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มี DNA จะได้กรดยูริคเสมอ


เนื่อง จากภาวะกรดยูริคในเลือดที่สูงนั้น จะยังไม่เกิดการตกตะกอนและเกิดข้ออักเสบทันที แต่ต้องใช้ระยะเวลาที่กรดยูริคในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายสิบปี พบว่าในผู้ชายที่มีกรดยูริคสูงนั้น ระดับของยูริคในเลือดจะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และสูงไปนาน จนกว่าจะเริ่มมีอาการ คืออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงระดับยูริคจะเริ่มสูงขึ้นหลังจากวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิง มีผลทำให้ยูริคในเลือดไม่สูงพบว่ายูริคในเลือดที่สูงนั้น กว่าร้อยละ 90 เกิดจากการสร้างขึ้นในร่างกายเอง อาหารเป็นแหล่งกำเนิดของยูริคในเลือดน้อยกว่าร้อยละ 10 เสียอีก ดังนั้นผู้ที่ไม่มียูริคสูงมาก่อน การกินอาหารที่มีพิวรีนสูงจึงไม่มีทางทำให้ระดับยูริคสูงได้ครับ

ถ้าปวดข้อแล้วไปเจาะเลือดพบว่ายูริคสูง แสดงว่าเป็นเก๊าท์หรือไม่
เป็น ความเข้าใจที่ผิดครับ การวินิจฉัยโรคเก๊าท์อาศัยประวัติและการตรวจร่างกายง่ายๆครับ ข้ออักเสบจากเก๊าท์วินิจฉัยได้ง่ายเพราะผู้ป่วยจะมีอาการ "ปวด บวม แดง ร้อน" ที่ข้อชัดเจน เป็นเร็วและมักเป็นข้อเดียว ข้อที่เป็นบ่อยได้แก่ ข้อนิ้วหัวแม่เท้า, ข้อเท้า, ข้อเข่า ถ้าผู้ป่วยปวดข้อแต่สงสัยว่ามีปวด บวม แดง ร้อนหรือไม่ หรือตรวจไม่พบ ไม่ชัดเจน ให้สงสัยว่าไม่ใช่เก๊าท์ครับ รายที่เป็นเรื้อรังอาจมีปวดหลายข้อและพบมีปุ่มก้อนที่รอบๆข้อ เช่น ข้อเท้า, ส้นเท้า, ข้อมือ, นิ้วมือได้ ถ้าก้อนเหล่านี้แตกออกจะพบตะกอนยูริคคล้ายผงชอล์กไหลออกมา

การเจาะ เลือดตรวจระดับกรดยูริคในเลือด ในช่วงที่มีข้ออักเสบอาจพบว่า สูง ต่ำ หรือเป็นปกติได้ครับ ดังนั้นผู้ที่มีข้ออักเสบเก๊าท์ ไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดในขณะนั้นและไม่ช่วยในการวินิจฉัยครับ ดังนั้น
  • ถ้า อาการปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้อไม่ชัดเจน ถ้าเป็นที่ข้อบริเวณเท้า แล้วผู้ป่วยเดินได้สบาย แม้ว่าเจาะเลือดแล้วยูริคสูงก็ให้สงสัยว่าไม่ใช่เก๊าท์
  • ถ้า มีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่ข้อชัดเจน เป็นในตำแหน่งข้อเท้า ข้อนิ้วหัวแม่เท้า เป็นเร็วแม้ว่าจะเจาะยูริคแล้วไม่สูงก็น่าจะเป็นเก๊าท์ครับ

ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย สำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์

การ ออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าในหลักการแล้วก็สามารถออกกำลังกาย ได้สม่ำเสมอ หากยังไม่มีอาการเฉียบพลันรุนแรงก็สามารถออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องได้ โดยเป็นการออกกำลังกายที่หลีกเลี่ยงการกระแทก เมื่อเป็นโรคเก๊าท์สามารถออกกำลังกายได้ เมื่อหายดีแล้วไม่ควรออกกำลังกายที่มีลักษณะหักโหม เช่น ปีนเขา หรือทำอะไรนานๆต้องระวังเหมือนกัน เพราะบางทีกระตุ้นให้เกิดอาการใหม่ได้ พยายามหากีฬาที่ลดแรงกระแทก ฉะนั้นคนไข้โรคเก๊าท์ส่วนมากจะไม่แนะนำให้วิ่งจ๊อกกิ้ง เพราะการกระแทกเหล่านั้นจะไปกระตุ้นให้โรคกำเริบมากขึ้น

วิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม ควรเป็นการว่ายน้ำ การปั่นจักรยานอยู่กับที่ หรือการออกกำลังกายส่วนแขน คือขยับแขน แกว่งแขน แต่ถ้าในช่วงที่มีอาการเฉียบพลัน ปวด บวมแดง ร้อน ควรงดเลย เพราะถ้ายิ่งฝืนไปออกกำลังกายจะไปกระตุ้นให้เป็นยาวนานขึ้น การบีบนวดหรือบางคนชอบเอายามาถูแล้วนวดก็จะยิ่งจะทำให้ยิ่งบวมมากขึ้น ปล่อยให้อยู่นิ่งๆจะหายเร็วกว่า การใช้น้ำอุ่นประคบก็ช่วยได้แต่ต้องไม่ร้อนมาก

การออกกำลังกาย มีข้อควรระวังสำหรับคนที่เป็นโรคเก๊าท์
สรุปได้ดังต่อไปนี้
  • หากยังมีการอักเสบของข้อต่อไม่ควรออกกำลังกาย เพราะจะทำให้การอักเสบนั้นหายช้าลง หรืออาจทำให้อาการแย่ไปกว่าเดิม
  • ควรหยุดพักจนกว่าการอักเสบจะหมดไป แล้วค่อยเริ่มออกกำลังกายต่อไปอย่างต่อเนื่อง
  • อย่าหักโหมออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว เพราะจะไปกระตุ้นระดับกรดยูริคในร่างกายให้สูงขึ้น ส่งผลให้อาการอักเสบกำเริบได้

อาหารกับโรคเก๊าท์? เป็นเก๊าท์ห้ามกินสัตว์ปีก?

ไม่ ห้ามครับ เพราะเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้น ยูริคที่สูงกว่าร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายสร้างขึ้นเอง อาหารเป็นส่วนประกอบน้อยมาก ต่อระดับยูริคในเลือด มีการทดลองให้อาสาสมัคร กินอาหารที่มีพิวรีนสูง ทั้ง 3 มื้อ เช่น สัตว์ปีก, เครื่องในสัตว์, ยอดผัก, ไข่ปลา เป็นต้น เป็นเวลาหลายสัปดาห์ พบว่าระดับยูริคในเลือดสูงขึ้นเพียง 1 มก./ดล. ดังนั้นคนธรรมดาที่ไม่ได้กินแต่อาหารที่มีพิวรีนสูงอย่างเดียว จึงแทบไม่มีผลต่อระดับยูริคในเลือดเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยเก๊าท์มักเป็นชายวัยกลางคนหรือสูงอายุซึ่งอาจมีโรคอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เบาหวาน, ความดันเลือดสูง ซึ่งจำเป็นต้องจำกัดหรืองดอาหารบางประเภทอยู่แล้ว การบอกให้ผู้ป่วยเก๊าท์งดอาหารพิวรีนสูงเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยลำบากในการเลือกกินอาหารยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยเก๊าท์ที่กินยาลดยูริคอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเลี่ยงอาหารใดๆอีก จะเห็นได้ว่าโรคเก๊าท์เป็นโรคที่มีหลายคนยังเข้าใจผิดถึงโรคและการปฏิบัติ ตัว ทำให้เกิดความลำบากในการรักษาและสร้างความทุกข์กับผู้ป่วยด้วย
อาหารที่ทานกับการเป็นโรคเก๊าท์

ในหนังสือ "อาหารรักษาโรค" ของ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ เขียนข้อความชวนอมยิ้มไว้ว่า "หลายคนมองว่าเก๊าท์เป็นโรคที่เกิดจากการกินดีอยู่ดีมากเกินไป และเห็นภาพเจ้าตัวพุงพลุ้ยนั่งกระดกเบียร์เป็นเหยือกๆ แกล้มขาหมูทอดมันๆ" ซึ่งอันที่จริงแล้วเก๊าท์เป็นโรคข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ในทุกชน ชั้น และทุกวรรณะต่างหากล่ะ ทั้งนี้เก๊าท์จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของเรามีกรดยูริคในเลือดมากจนเกินไป แล้วตกตะกอนภายในข้อหรือระบบทางเดินปัสสาวะ จะทำให้มีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรืออาจเกิดนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะได้

มีรายงานจาก หฤทัย ใจทา นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ระบุว่า เก๊าท์มีสาเหตุหลักมาจากพันธุกรรมที่ร่างกายของเรา อาจมีความสามารถในการขับกรดยูริคได้น้อยกว่าคนทั่วไป ทำให้เกิดการสะสมของกรดยูริคขึ้น ทั้งนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่ากรดยูริคในเลือดที่สูงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์นั้นเกิดจากร่างกายผลิตเองหลายท่านเลยให้ความเห็นว่า ดังนั้นอาจไม่จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์งดอาหารที่มีสาร "พิวรีน" (สารในอาหารซึ่งจะสลายเป็นกรดยูริค)

อย่างไรก็ตามมีแพทย์หลายท่าน ให้ข้อสังเกตว่า มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีอาการอักเสบของข้อเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน หลังจากที่ทานอาหารบางอย่าง (ซึ่งอาจเป็นของแสลงต่อร่างกายของเขา) "จึงอาจกล่าวได้ว่าแม้อาหารไม่ได้ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ แต่อาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากขึ้นได้" ในกรณีของคนที่มีอาการของโรคอยู่แล้ว ผู้ป่วยจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่จะก่อให้เกิดการอักเสบ หรืออาหารบางอย่างที่จัดเป็นของแสลงต่อร่างกายตนเอง

คนป่วยโรคเก๊าท์ ควรเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นอาจยังไม่จำเป็นต้องเลี่ยง เพียงแต่ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ อิ่มท้อง อิ่มใจ แบบไม่ต้องทรมานความอยากมากเกินไปก็พอแล้ว เอาล่ะมาดูกันดีกว่าว่าพวกเรา (ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยพุงพลุ้ยหรือไม่ก็ตาม) ควรกินอะไรเพื่อให้ห่างไกลเก๊าท์ และลดปริมาณกรดยูริคในร่างกายลงได้บ้าง

"ไก่" กับ "เก๊าท์"


"อย่ากินไก่เยอะนะ เดี๋ยวเป็นเก๊าท์" ดูเหมือนพวกเราจะได้ยินประโยคที่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างนี้กันอยู่เนืองๆ ซึ่งจริงๆ แล้วไก่ก็มีความเกี่ยวพันกับอาการเก๊าท์จริงๆ นั่นแหละครับ เพราะเนื้อไก่มีสารพิวรีนอยู่สูงปานกลาง ถ้ากินเยอะๆ อาจกระตุ้นให้ผู้ที่มีอาการเก๊าท์อยู่แล้ว เกิดการอักเสบมากขึ้น ทว่าอย่าเพิ่งถึงขั้นงดกินเลยครับ เพราะนักกำหนดอาหารแห่งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ได้แนะนำว่า คงไม่ต้องถึงกับงดทานสัตว์ปีกหรอกครับ เพียงแต่อาจต้องลดความถี่ในการทาน หรือทานในบริเวณที่เสี่ยงน้อย เช่น ไม่ทานตรงข้อ หรือทานบริเวณอกไก่แทนก็ได้ครับ

อาหารที่แนะนำให้ทาน


จากหนังสือ "อาหารรักษาโรค" ของ รีดเดอร์ส ไดเจสท์ ได้แนะนำอาหารที่ใช้ในการบำบัดหรือบรรเทาอาการของโรคเก๊าท์ไว้ดังนี้

เชอร์รีสด

งาน วิจัยของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทดลองในผู้หญิงพบว่า ระดับกรดยูริคในเลือดลดลง แต่จะไปเพิ่มขึ้นในปัสสาวะ เมื่อให้หญิงสาวอดอาหารและกินเชอร์รีลูกโต นอกจากนี้ยังพบว่า เชอร์รีดำ เชอร์รีเหลือง และเชอร์รีแดง รสเปรี้ยว ก็มีประโยชน์เช่นกัน

เต้าหู้ ถั่วแระญี่ปุ่น น้ำเต้าหู้ และอาหารจากถั่วเหลือง

คน ที่มีอาการโรคเก๊าท์ ควรต้องลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แต่ก็ไม่ควรให้ร่างกายขาดโปรตีน ดังนั้นโปรตีนจากถั่วเหลืองน่าจะเป็นทางออกที่ดี งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ถั่วเหลืองช่วยลดกรดยูริคได้ ปริมาณที่แนะนำคือ ทานถั่วเหลือง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์และสัตว์ปีก

มะเขือเทศ พริกหวาน และอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี

งาน วิจัยของมหาวิทยาลัยทัฟต์สในอเมริกาพบว่า ผู้ที่ทานอาหารที่ทำจากมะเขือเทศ พริกหวานเขียว และผักที่มีวิตามินซีสูง วันละ 2 ถ้วย ติดต่อกันนาน 2 สัปดาห์ มีระดับกรดยูริคในเลือดลดลงหลังจากการทดสอบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้พืชผักสีแดงที่มี สารต้านอนุมูลอิสระ ไลโคปีนอาจช่วยลดกรดยูริคได้

น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา อะโวคาโด และอาหารที่อุดมด้วยไขมันไม่อิ่มตัว

มี งานวิจัยจำนวนมากพบว่า ไขมันไม่อิ่มตัวที่พบในอาหารเหล่านี้อาจช่วยลดกรดยูริค รวมถึงงานวิจัยในแอฟริกาใต้ที่เปิดเผยว่า เมื่อให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ทานไขมันไม่อิ่มตัวแทนไขมันอิ่มตัว พบว่าระดับกรดยูริคในเลือดของพวกเขาลดลง 17.5 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 16 สัปดาห์ นอกจากนี้การได้รับแคลอรีเพิ่มขึ้นจากไขมันไม่อิ่มตัว ยังอาจช่วยลดระดับอินซูลิน ซึ่งช่วยป้องกันโรคเก๊าท์กำเริบในทางอ้อม

น้ำและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์

น้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ จะช่วยชำระกรดยูริคออกจากร่างกายได้ แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

มนูลดอาการปวดข้อ

เมนู 3 วันที่จัดใส่จานเสิร์ฟถึงมือผู้อ่าน โดย หฤทัย ใจทา นักกำหนดอาหาร ประจำศูนย์เบาหวานไทรอยด์ โรงพยาบาลเทพธารินทร์

วันที่ 1
มื้อเช้า – ซีเรียล (ไม่ขัดสี) ประมาณ 2 ถ้วยตวง นมปราศจากไขมัน 1 กล่อง
มื้อเที่ยง – ข้าวไก่อบ (เลือกอกไก่) ส้มเขียวหวาน 1-2 ผล
มื้อเย็น – สุกี้น้ำ (ใส่น้ำจิ้มเล็กน้อย) แก้วมังกร ½ ผล

วันที่ 2
มื้อเช้า – ข้าวต้มกุ้ง 1 ชาม กาแฟหรือชาร้อน 1 ถ้วย
มื้อเที่ยง – ก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่ใส่เครื่องใน แคนตาลูป 6-8 ชิ้น (พอดีคำ)
มื้อเย็น – ข้าวสวย แกงจืดเต้าหูหมูสับ น้ำส้มคั้น 100% 120 ซี.ซี.

วันที่ 3
มื้อเช้า – แซนด์วิชไข่ต้มใส่ผักกาดหอมและมะเขือเทศ โยเกิร์ตไขมันต่ำรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
มื้อเที่ยง – ผัดผักรวมราดข้าว น้ำแตงโมปั่น (หวานน้อย) 1 แก้ว (200 ซี.ซี.)
มื้อเย็น – ข้าวสวย ต้มยำกุ้งน้ำใส แอปเปิ้ลเขียว 1 ผล

ของหวานหรือขนม - วุ้นเจลาติน / เวเฟอร์ / สมูทตี้แบบไขมันต่ำ

เก๊าท์ รักษาได้หายขาดจริงหรือไม่ และต้องทำยังไง

จริง ครับ ถ้าเรายอมรับว่าผู้ป่วยที่รักษาแล้วไม่มีอาการปวดข้ออีกเลยตลอดชีวิต เรียกว่าหายจากผู้ป่วยโรคเก๊าท์ จำเป็นต้องได้รับการรักษาเป็น 2 ระยะในความดูแลของแพทย์ ได้แก่
  • การรักษาในระยะเฉียบพลัน คือ ข้ออักเสบโดยใช้ยาลดการอักเสบที่นิยมได้แก่ ยาโคลชิซิน (Colchicine) กินวันละไม่เกิน 3 เม็ด (เช่น 1 เม็ดหลังอาหาร 3 มื้อ) จะทำให้ผู้ป่วยหายจากข้ออักเสบในเวลา 1-2 วัน อาจทำให้ข้ออักเสบหายเร็วขึ้น ถ้าใช้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ บางครั้งอาจมีผู้แนะนำให้กินยาโคลชิซิน 1 เม็ด ทุกชั่วโมง จนกว่าจะหายปวดหรือจนกว่าจะท้องเสียซึ่งไม่แนะนำ เพราะผู้ที่กินยานี้จะท้องเสียก่อนหายปวดเสมอ
  • การรักษาระยะยาว โดยใช้ยาลดกรดยูริคในเลือด โดยถือหลักการว่าถ้าเราลดระดับยูริคในเลือดได้ต่ำกว่า 7 มก./ดล. จะทำให้ยูริคที่สะสมอยู่ละลายออกมาและขับถ่ายออกจนหมดได้ ยาที่นิยมใช้ได้แก่ ยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) ขนาด 100-300 มก. กินวันละครั้ง ซึ่งยานี้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง กินยาสม่ำเสมอและกินไปนานอย่างน้อย 3-5 ปี เพื่อกำจัดกรดยูริคให้หมดไปจากร่างกาย การกินๆหยุดๆจะทำให้แพ้ยาได้ง่าย ซึ่งเป็นผื่นผิวหนังชนิดรุนแรง


ข้อคำนึงในการรักษาได้แก่
  • ยา ลดกรดยูริคมีผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ จึงสงวนไว้ใช้ในผู้ป่วยเก๊าท์เท่านั้น ผู้ที่ตรวจเลือดแล้วพบว่ายูริคสูง โดยไม่มีอาการปวดข้อแบบเก๊าท์มาก่อน ไม่มีความจำเป็นต้องกินยานี้ เพราะผู้ที่ยูริคสูงไม่ได้เป็นเก๊าท์ทุกคน การกินยาทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงโดยไม่จำเป็น
  • เมื่อมีอาการปวดข้อเกิดขึ้น อย่านวดเพราะการนวดหรือใช้ยาทาถู ทำให้อาการข้ออักเสบเป็นนานขึ้นหายช้า
  • ใน ผู้ที่มีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์เป็นครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องเริ่มยาลดยูริคตั้งแต่แรก เพราะผู้ป่วยส่วนหนึ่งมีอาการข้ออักเสบ เพียงครั้งเดียวในชีวิตและไม่เป็นอีก และพบว่าการเริ่มกินยาลดกรดยูริคในขณะที่ข้ออักเสบ จะทำให้ข้ออักเสบหายช้าลง
  • ในผู้ป่วยที่กินยาลดกรดยูริคอยู่ อาจพบว่ามีอาการข้ออักเสบแบบเก๊าท์ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องหยุดยา เพียงแต่รักษาข้ออักเสบตามข้างต้น และเมื่อกินยาต่อไปเรื่อยๆ จะพบว่าข้ออักเสบจะเป็นห่างขึ้นเป็นน้อยลงหายเร็วขึ้น จนกระทั่งไม่มีอาการข้ออักเสบอีกเลย
  • หลังจากกินยาไปแล้ว 3-5 ปี อาจลองพิจารณาหยุดยาได้ ในผู้ป่วยที่อายุมากเนื่องจากยูริคที่เริ่มสูงขึ้นหลังจากหยุดยา กว่าจะเริ่มสะสมจนเกิดข้ออักเสบนั้น กินเวลาหลายสิบปี จนอาจไม่เกิดอาการอีกเลยตลอดชีวิต